การประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลในการบำรุงรักษาและตรวจวัดบนแพลตฟอร์ม

บทความนี้อธิบายถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปรับปรุงการบำรุงรักษาและการตรวจวัดบนแพลตฟอร์มกลางทะเล ทั้งในด้านการมอนิเตอร์ ระบบเซ็นเซอร์ การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และการจัดการลูกเรือ โดยมุ่งเน้นความปลอดภัย การปฏิบัติงานทางทะเล และการลดเวลาหยุดทำงานของอุปกรณ์

การประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลในการบำรุงรักษาและตรวจวัดบนแพลตฟอร์ม Image by Pixabay

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลบนแพลตฟอร์มกลางทะเลช่วยให้การบำรุงรักษาและการตรวจวัดมีความแม่นยำมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว ระบบมอนิเตอริงที่ใช้เซ็นเซอร์เชื่อมต่อกับเครือข่ายสามารถรายงานสถานะของอุปกรณ์เจาะ ท่อ ระบบย่อยน้ำมันและก๊าซ รวมถึงโครงสร้างใต้ทะเล (subsea) แบบเรียลไทม์ การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ช่วยระบุแนวโน้มก่อนเกิดความเสียหาย ทำให้การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (predictive maintenance) เป็นไปได้จริงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การตรวจวัดและมอนิเตอริงด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (offshore, platform, subsea)

ระบบตรวจวัดสมัยใหม่รวมถึงเซ็นเซอร์แรงดัน อุณหภูมิ การสั่นสะเทือน และการรั่วไหลที่ติดตั้งทั้งบนแพลตฟอร์มและโครงสร้างใต้ทะเล (subsea) ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เหล่านี้ส่งผ่านเครือข่ายที่ทนทาน เช่นเครือข่ายอีเธอร์เน็ตใต้น้ำ หรือการสื่อสารดาวเทียมเมื่ออยู่ offshore การรวมข้อมูลหลายแหล่งช่วยให้เห็นภาพรวมสภาพการทำงานของระบบทางการขุดเจาะและการผลิต และช่วยให้สามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนได้ก่อนที่จะเกิดความล้มเหลว

การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์และการซ่อมบำรุง (maintenance, drilling)

เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลและแมชชีนเลิร์นนิงสามารถประมวลผลสัญญาณจากอุปกรณ์เจาะและเครื่องจักรเพื่อทำนายความล้มเหลวในอนาคต การนำข้อมูลการสั่นสะเทือนและประวัติซ่อมบำรุงมารวมกันช่วยให้ทีมบำรุงรักษาวางแผนการซ่อมที่มีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายจากการหยุดการผลิตแบบฉุกเฉิน และเพิ่มอายุการใช้งานของชิ้นส่วนสำคัญในระบบ drilling และระบบส่งผ่านผลิตภัณฑ์

ความปลอดภัยและการปฏิบัติบนแพลตฟอร์ม (safety, PPE, helideck, livingquarters)

การประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลกับมาตรการความปลอดภัยรวมถึงการติดตามการสวม PPE แบบดิจิทัล การตรวจสภาพ helideck ในเวลาจริง และการมอนิเตอร์สภาพแวดล้อมภายใน livingquarters เช่นคุณภาพอากาศหรือการรั่วไหลของก๊าซ ระบบให้การแจ้งเตือนฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อพบเหตุการณ์ที่เสี่ยงต่อความปลอดภัย นอกจากนี้การใช้ภาพถ่ายและวิดีโอจากโดรนหรือกล้องติดตั้งช่วยให้ทีมตรวจสอบจุดสูงเสี่ยงได้โดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตบุคลากร

การจัดการลูกเรือและการปฏิบัติงานเป็นกะ (crew, shiftwork, certification, maritime)

ระบบดิจิทัลช่วยบริหารตาราง crew และ shiftwork โดยรวมข้อมูลการรับรอง (certification) ของพนักงาน ความสามารถเฉพาะทาง และความพร้อมปฏิบัติงาน เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ผู้จัดการทราบได้ทันทีว่าใครมีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับการปฏิบัติงานเฉพาะด้านบนแพลตฟอร์ม นอกจากนั้นการติดตามสถานะสุขภาพเบื้องต้นและการบันทึกการเข้าร่วมฝึกอบรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ยังช่วยรักษามาตรฐานความปลอดภัยทางทะเล (maritime) ให้เป็นไปตามข้อกำหนด

การสำรวจ ข้อมูล และการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ (exploration, petroleum, subsea, sensors)

การรวมข้อมูลการสำรวจจากเซ็นเซอร์หลายชนิด เช่นข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ ปริมาณการผลิต และการวัดค่าทางวิศวกรรม ทำให้ทีมสำรวจและผู้บริหารสามารถวิเคราะห์แนวโน้มและประเมินความเป็นไปได้ในการขยายพื้นที่ผลิต ข้อมูล telemetry ที่ส่งกลับจากระบบ subsea ช่วยให้การจัดการสายอุปกรณ์และการวางแผนซ่อมบำรุงเป็นไปอย่างมีเหตุผลและประหยัดทรัพยากร การใช้แดชบอร์ดข้อมูลที่เข้าใจง่ายสนับสนุนการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีข้อมูลรองรับ

การประยุกต์ใช้อัตโนมัติและระบบดิจิทัลยังช่วยส่งเสริมการบูรณาการระหว่างงานตรวจวัด การบำรุงรักษา และการปฏิบัติการ ทำให้การส่งต่อข้อมูลระหว่างทีมวิศวกรรม งานความปลอดภัย และการจัดการลูกเรือมีความต่อเนื่องและลดความซ้ำซ้อนของงาน อย่างไรก็ดีการนำเทคโนโลยีมาใช้ต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ ความปลอดภัยของข้อมูล และการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือใหม่ได้อย่างเต็มศักยภาพ

สรุปบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลในการบำรุงรักษาและตรวจวัดบนแพลตฟอร์มคือการเพิ่มความแม่นยำในการมอนิเตอร์ ลดเวลาหยุดทำงาน ปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัย และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลที่เชื่อถือได้ การลงทุนในระบบเซ็นเซอร์ การสื่อสารที่ทนทาน และแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานบนแพลตฟอร์มกลางทะเล