หลักเกณฑ์ที่ธนาคารพิจารณาเมื่อพิจารณาคำขอกู้
บทความนี้อธิบายหลักเกณฑ์สำคัญที่ธนาคารใช้พิจารณาคำขอกู้ส่วนบุคคล โดยครอบคลุมปัจจัยเช่น ประวัติเครดิต รายได้ ความสามารถในการชำระ ดอกเบี้ย (APR) หลักประกัน และกระบวนการ underwriting เพื่อให้ผู้ขอกู้เข้าใจเงื่อนไข ประเมินความเหมาะสม และเตรียมเอกสารก่อนยื่นคำขอกู้ได้อย่างรอบคอบ
เมื่อยื่นคำขอกู้ ธนาคารจะประเมินหลายปัจจัยร่วมกันเพื่อพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่ และหากอนุมัติจะให้เงื่อนไขอย่างไร กระบวนการประเมินนี้เชื่อมโยงกับภาพรวมของการจัดการ finance ของผู้ขอกู้ ดังนั้นการเข้าใจหลักเกณฑ์พื้นฐานช่วยให้เตรียมตัวและปรับแผนการเงินได้ดียิ่งขึ้น ก่อนจะลงรายละเอียดหัวข้อต่างๆ ต่อไปนี้คือปัจจัยหลักที่มักถูกนำมาพิจารณา
การพิจารณาเครดิตและประวัติการกู้ (credit, underwriting)
ประวัติเครดิตเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ ธนาคารดูรายงานเครดิตเพื่อประเมินประวัติการชำระหนี้ ความล่าช้า การผิดนัด และจำนวนบัญชีสินเชื่อที่มีอยู่ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยทีม underwriting ตัดสินความเสี่ยง หากมีประวัติที่ดี โอกาสได้รับวงเงินและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมจะสูงขึ้น ในทางกลับกัน ประวัติที่มีปัญหาอาจถูกกำหนดให้มีเงื่อนไขเข้มงวดหรือปฏิเสธคำขอกู้
รายได้ ความสามารถจ่าย และงบประมาณ (affordability, budgeting)
ธนาคารจะประเมินรายได้คงที่ รายจ่ายประจำ และภาระหนี้ปัจจุบัน เพื่อดูความสามารถในการชำระคืนในระยะยาว กระบวนการนี้รวมถึงการคำนวณอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ (debt-to-income) และการตรวจสอบเอกสารเช่น สลิปเงินเดือนและบัญชีธนาคาร ผู้ขอกู้ที่มีการจัดทำ budgeting และมีสำรองเงินฉุกเฉินมักถูกมองว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า เพราะแสดงให้เห็นความสามารถในการจัดการภาระเงินกู้และการหลีกเลี่ยงการผิดนัด
ดอกเบี้ย APR และเงื่อนไขการชำระ (interest, apr, repayment)
อัตราดอกเบี้ยและ APR เป็นตัวกำหนดต้นทุนของเงินกู้ ธนาคารพิจารณาปัจจัยหลายอย่างเช่น คะแนนเครดิต ระยะเวลาการกู้ และชนิดสินเชื่อ (secured หรือ unsecured) เพื่อกำหนดอัตรา เงื่อนไขการชำระมักระบุเป็นงวดรายเดือน (installment) และธนาคารจะตรวจสอบว่าแผนการ repayment ของผู้กู้สอดคล้องกับรายได้หรือไม่ ก่อนยอมรับคำขอกู้ พึงทราบว่า APR แสดงต้นทุนรวมของสินเชื่อรวมค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย จึงใช้เปรียบเทียบได้ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว
หลักประกันและสถานะหนี้ (collateral, unsecured, debt)
สินเชื่อบางประเภทต้องใช้หลักประกัน เช่น บ้านหรือรถ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของธนาคารและอาจนำไปสู่เงื่อนไขดอกเบี้ยที่ดีกว่า ในกรณี unsecured loan ที่ไม่ต้องมีหลักประกัน ธนาคารจะพิจารณาเครดิตและรายได้อย่างเข้มข้นขึ้น เพราะความเสี่ยงสูงกว่า ผู้ที่มีหนี้รวมสูงอยู่แล้วอาจถูกจำกัดวงเงินหรือเงื่อนไขเข้มงวดกว่า เพื่อป้องกันภาระหนี้เกินความสามารถชำระ
ประเภทการผ่อนชำระและโอกาส refinance (installment, refinance)
ธนาคารประเมินรูปแบบการผ่อนชำระ เช่น ผ่อนแบบคงที่หรือแบบลดต้นลดดอก ความยืดหยุ่นของงวดส่งผลต่อภาระการเงินรายเดือน ผู้กู้อาจพิจารณา refinance เพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยหรือระยะเวลากู้ให้เหมาะสมขึ้น แต่ธนาคารจะดูประวัติการชำระและสถานะทางการเงินก่อนอนุมัติการรีไฟแนนซ์ การเปรียบเทียบตัวเลือกผ่อนชำระช่วยให้เลือกแผนที่เหมาะสมกับ budgeting และเป้าหมายการเงิน
กระบวนการตรวจสอบภายในธนาคารและคุณสมบัติ (underwriting, eligibility)
หลังจากรับเอกสาร ทีม underwriting จะตรวจสอบความถูกต้องและวิเคราะห์ความเสี่ยงแบบองค์รวม รวมถึงการตรวจสอบแหล่งที่มาของรายได้ การยืนยันตัวตน และการประเมินความเสี่ยงตามนโยบายภายในแต่ละสถาบัน แต่ละธนาคารมีเกณฑ์ eligibility ที่แตกต่างกัน เช่น อายุ ระยะเวลาทำงาน และขีดจำกัดหนี้ ซึ่งผู้ขอกู้ควรศึกษาก่อนยื่นคำขอเพื่อลดโอกาสถูกปฏิเสธ
สรุปหลักเกณฑ์ที่ธนาคารพิจารณารวมถึงเครดิต รายได้ ความสามารถจ่าย ดอกเบี้ยและ APR หลักประกัน รูปแบบการผ่อน และกระบวนการ underwriting การเตรียมเอกสารที่ชัดเจน การจัดการ budgeting และการตรวจสอบสถานะหนี้ล่วงหน้าจะช่วยให้กระบวนการขอกู้ราบรื่นขึ้นและได้เงื่อนไขที่เหมาะสมกับสภาพการเงินของผู้ขอกู้